Thursday, April 6, 2017

หลักการใช้ Conjunction

หลักการใช้ Conjunction ในภาษาอังกฤษ

Conjunction มีชื่อเท่ๆเป็นภาษาไทยว่า คำสันธานหรือ คำเชื่อมนั่นเองค่ะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ Coordinating Conjunction   และ   Subordinating Conjunction
1. Coordinating Conjunction คือคำเชื่อมที่ใช้เชื่อม คำกับคำ กลุ่มคำกับกลุ่มคำ หรือประโยคกับประโยค โดยที่ประโยคจะต้องเป็นประโยคที่มีลำดับความสำคัญที่เท่าเทียมกัน   เท่าเทียมกันในที่นี้หมายความว่าถ้าหากว่าประโยคใดประโยคหนึ่งต้องอยู่เดี่ยวๆ มันก็สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยประโยคอื่นมาประกอบเพื่อให้ใจความสมบูรณ์   คำเชื่อมหลักๆในกลุ่มนี้คือ for, and, nor, but, or, yet, so หรือมีตัวย่อเก๋ๆว่า FANBOYS ซึ่งมาจากอักษรตัวแรกของแต่ละคำ เพื่อให้จำได้ง่ายขึ้นค่ะ   มาดูวิธีการใช้กันค่ะ
For : คำนี้อาจจะคุ้นกันในความหมายว่า เพื่อ หรือ สำหรับ แต่!! ถ้าหากว่าเป็นคำเชื่อมปุ๊บจะแปลว่า “เพราะว่า” ค่ะ เช่น
The little girl hid behind her mother, for she was afraid of the dog.
เด็กสาวหลบหลังแม่ของเธอเพราะว่ากลัวสุนัข
And : คำเชื่อมตัวนี้น่าจะเป็นคำเชื่อมตัวแรกๆที่เรามักจะรู้จัก แปลว่า “และ”   สามารถเชื่อมคำ กลุ่มคำ หรือประโยคก็ได้ เช่น
My husband and I are going to Rayong this weekend.
ฉันและสามีของฉันจะไประยองสุดสัปดาห์นี้ (เชื่อมคำกับคำ)
My favorite hobbies are playing sports and listening to music.
งานอดิเรกที่ฉันโปรดปรานคือการเล่นกีฬาและการฟังเพลง (เชื่อมกลุ่มคำกับกลุ่มคำ)
January is the first month of the year, and December is the last.
เดือนมกราคมเป็นเดือนแรกของปี และเดือนธันวาคมเป็นเดือนสุดท้าย (เชื่อมประโยคกับประโยค)
Nor : แปลว่า และ…ไม่ แต่จะเป็นประโยคที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น
She can’t speak English, nor can she speak French.
เจ้าหล่อนพูดอังกฤษไม่ได้และยังพูดฝรั่งเศสก็ไม่ได้ด้วย
**   nor มีความพิเศษตรงที่ ประโยคหลัง nor จะต้องเรียงโครงสร้างเหมือนกับคำถามคือ กริยาช่วย แล้วตามด้วยประธาน แล้วค่อยตามด้วยกริยาหลัก แต่ความหมายก็เป็นปฏิเสธนะคะ
They don’t like eating fast food, nor do we.
พวกเขาไม่ชอบกินอาหารจานด่วนและพวกเราก็ไม่ชอบเหมือนกัน
But : แปลว่า “แต่” ใช้เชื่อประโยคที่ขัดแย้งกัน เช่น
Mr. Smith came to the party but Mr. William didn’t.
คุณสมิธมางานปาร์ตี้แต่คุณวิลเลี่ยมไม่ได้มา
Or : แปลว่า “หรือ” เป็นการให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
 You can email or fax us the details of the program.
คุณสามารถส่งอีเมล์หรือแฟกซ์รายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมมาให้เราก็ได้
My friends and I usually go to a party on Saturday night, or we go to the movies.
ฉันและเพื่อนๆมักจะไปปาร์ตี้ในคืนวันเสาร์หรือไม่ก็ไปดูหนัง
Yet : ถ้าเป็นคำเชื่อมจะแปลว่า “แต่”   เช่น
I have a cold, yet I’m eating ice cream now.
ฉันเป็นหวัดแต่ฉันก็กำลังกินไอศกรีมอยู่
So : ถ้าเป็นคำเชื่อมจะแปลว่า “ดังนั้น”   เช่น
I came to class late, so I was made to stay late after school.
ฉันมาเรียนสาย ก็เลยถูกบังคับให้ต้องอยู่เย็นหลังเลิกเรียน

2. Subordinating Conjunction  
 ในตอนนี้จะอธิบายถึงการใช้ Subordinating Conjunction   สองประเภทนี้ต่างกันยังไงน่ะเหรอ?….ก็ต่างกันตรงที่ Coordinating Conjunction เอาไว้เชื่อมประโยคที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน แต่! Subordinating Conjunction จะเอาไว้เชื่อมประโยคที่มีลำดับความสำคัญไม่เท่ากัน  ที่มันไม่เท่ากันเพราะมันจะมีประโยคหนึ่งเป็นประโยคหลัก (main clause) อีกประโยคหนึ่งเป็นประโยคย่อย (subordinate clause) เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน จะขอแยกประเภทของ Subordinating Conjunction เป็นดังนี้ค่ะ

2.1 คำเชื่อมแสดงเวลา – คำเชื่อมในกลุ่มนี้ก็ตัวอย่างเช่น before, after, since, until, when, while, once, etc.   เช่น

While I was walking home, I saw the accident happen.
ตอนที่ฉันกำลังเดินกลับบ้าน ฉันก็เห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น
2.2 คำเชื่อมแสดงเหตุผล – ตัวอย่างเช่น because, since, as ตัวอย่างประโยค เช่น

Since I am very tired of working here, I decide to resign.
เพราะฉันเบื่อหน่ายสุดๆที่จะต้องทำงานที่นี่ ฉันจึงตัดสินใจลาออก
** คำว่า since แปลว่า เพราะว่า หรือ ตั้งแต่ ก็ได้ค่ะ

2.3 คำเชื่อมบอกเงื่อนไข – คำเชื่อมในกลุ่มนี้คือ if, if…not, unless เช่น

If you are late, we will leave you here.
ถ้าคุณมาสาย เราจะทิ้งคุณไว้ที่นี่
2.4 คำเชื่อมแสดงการยอมรับหรือยินยอม (concession) เช่นคำว่า though, although, even though เช่น

Although this watch is quite expensive, I bought it anyhow.
แม้ว่านาฬิกาเรือนนี้ค่อนข้างแพง แต่ฉันก็ซื้อมันมาอยู่ดี
2.5 คำเชื่อมแสดงการเปรียบเทียบ – เช่นว่าคำว่า than

She is prettier than me.
หล่อนสวยกว่าฉัน
2.6 คำเชื่อมเพื่อแสดงผลลัพธ์ที่ตาม – คือคำว่า that และต้องมีคำว่า so นำหน้าเสมอเป็น so…that แปลว่า จนกระทั่ง เช่น

He is so ill that he cannot come.
เขาป่วยมากจนมาไม่ได้
** คำเชื่อมแบบ subordinating conjunction ก็จะแบ่งได้คร่าวๆแบบนี้ค่ะ   ถ้าดูจากตัวอย่างด้านบนจะเห็นว่า ประโยคจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่มี subordinating conjunction นำหน้า และส่วนที่ไม่มีประโยคที่มี subordinating conjunction นำหน้าเรียกว่า subordinate clause ซึ่งไม่สามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ ต้องไปรวมกับประโยค main clause ซึ่งไม่มี subordinating conjunction อยู่ข้างหน้า และสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ หากเป็นประโยคที่อยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้รวมกับใคร

** มี subordinating conjunction บางคำที่สามารถเป็นคำบุพบทได้ เช่น since, after, before, until, etc.   แล้วจะมีวิธีการสังเกตอย่างไรล่ะ?…..ดูตัวอย่างต่อไปนี้ค่ะ

I haven’t seen Mike since the end of the war.   (since = preposition)
I haven’t seen Mike since the war ended.       (since = subordinating conjunction)
ถ้าหากว่า ส่วนที่ตามหลัง since เป็นคำนาม หรือนามวลี since จะเป็น preposition
แต่ถ้าส่วนที่ตามหลังมาเป็นประโยค since จะเป็น subordinating conjunction ค่ะ พอจะแยกออกแล้วใช่มั๊ยคะ



ขอบคุณที่มา: http://www.pasaangkit.com/subordinating-conjunction/

No comments:

Post a Comment