Direct and indirect Speech
Direct Speech คือ การเอาคำพูดของผู้อื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟัง
โดยมิได้เปลี่ยนแปลงคำพูดนั้นแม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งเลย เช่น Chamras said “it is my pen” จำรัสพูดว่า “มันเป็นปากกาของฉัน”
indirect Speech คือ การเอาคำพูดของผู้อื่นที่ตัวเองได้ยินมาเล่าให้คู่สนทนาฟัง
โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าอีกทีหนึ่ง เช่น Chamras
said that it was his pen. จำรัสพูดว่า มันเป็นปากกาของเขา
รูปแบบของ Direct Speech
รูปแบบการใช้ประโยค Direct Speech นั้นมีอยู่ 3 ชนิด คือ
รูปแบบที่ 1
1. วางประโยคนำ(เช่น He said หรือข้อความอื่นใดที่คล้ายกันนี้) ไว้ต้นประโยคทุกครั้งไป
2. ข้างหลังประโยคนำต้องใส่เครื่องหมาย Comma ( , ) ทุกครั้งไป หรือ ( : ) หรือ( ; ) ก็ได้
3.
ประโยคที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดตามแบบการใช้แบบที่ 1 นี้
ต้องนำด้วยตัวอักษรใหญ่ขึ้นต้นประโยคเสมอ
เช่น He said “The
first heroine in Thai history was Tao Suranaree”.
เขาพูดว่า “วีระสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยคือท้าวสุรนารี”
รูปแบบที่ 2
1. วางประโยคนำ(เช่น He said หรือข้อความอื่นใดที่คล้ายกันนี้) ไว้ท้ายประโยคทุกครั้งไป
2. ใส่เครื่องหมาย Comma ( , ) ไว้หน้าประโยคที่วางอยู่ท้ายประโยคเสมอ
3. จะเปลี่ยนรูปประโยคนำจาก He said เป็น said
he ก็ได้
และประโยคในเครื่องหมายคำพุดต้องเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ
เช่น “The first heroine in Thai history was Tao Suranaree” he said. (or said he).
“วีระสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยคือท้าวสุรนารี” เขาพูด
รูปแบบที่ 3
1. วางประโยคนำ(เช่น He said หรือข้อความอื่นใดที่คล้ายกันนี้) แทรกไว้ตรงกลางข้อความที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด
2 . ข้างหน้าคำว่า he said และหลังคำว่า he
said ต้องใสเครื่องหมาย Comma ( , )
ด้วยกันทั้งสองตลอดไป
3. จบข้อความที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูด
ซึ่งวางตามหลัง he said ต้องใสเครื่องหมายจบประโยคคือ ( . )
Full stop ทันที เช่น
“The first heroine in Thai history” he said “was Tao Suranaree”
“วีระสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย” เขาพูด “ คือท้าวสุรนารี”
หลักการเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น indirect
Speech
หลักการเปลี่ยนประโยค Direct Speech เป็น
indirect Speech จะต้องเปลี่ยนแปลงอยู่
4 ตำแหน่ง คือ
1. เปลี่ยนแปลงกริยาของประโยคนำ
say
เป็น say that
said
เป็น said that
say to + บุคคล
เป็น tell + บุคคล +
that
said to + บุคคล
เป็น tell + บุคคล + that
2. เปลี่ยนแปลงสรรพนามบุคคล(ประโยคในคำพูด)
I เป็น he
or she
me
เป็น him
or her
my
เป็น his
or her
mine
เป็น his
or hers
myself เป็น himself
or herself
we
เป็น
they
us
เป็น them
our
เป็น their
ours
เป็น theirs
ourselves เป็น themselves
you (subject) เป็น I
you (object) เป็น me
your
เป็น my
yours
เป็น mine
yourself เป็น myself
3. เปลี่ยน Tense
Direct
speech เป็น
|
Indirect
speech เป็น
|
Present
Simple
Present
Continuous
Present
perfect
Past
Simple
Will
Shall
Can
May
Must
|
Past
Simple
Past
Continuous
Past
perfect
Past
perfect
Would
Should
Could
Might
Had
to
|
4. . เปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่แสดงความใกล้
เป็นถ้อยคำที่แสดงความห่างไกล มีดังต่อไปนี้
today
, tonight
yesterday
last
night
last
week
last
month
last
year
the
day before yesterday
the
day after
tomorrow
next
week, next month
next
year
thus
now
ago
recently
this,
these, here, come
|
that
day, that night
the
day before, the previous day
the
night before
the
week before
the
month before
the
year before
two
day after, in two day’s time
two
day after, in two day’s after
the
next day, the following day
the
week after, the month after
the
year after
so
then,
at that time
before
shortly,
before then
that,
those, there, go
|
*ข้อยกเว้น ถ้าประโยคนำเป็น Present Simple
Tens ประโยคในเครื่องหมายคำพูดเป็น Tens อะไรก็คงไว้ตาม Tens นั้น
ห้ามนำกฎการเปลี่ยนแปลง Tens มาใช้บังคับโดยเด็ดขาด เช่น
Direct = She says “I am reading a
book now”. หล่อนพูดว่า “ดิฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้”
Indirect = She says that she is reading a book
then. หล่อนพูดว่า หล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้
เมื่อประโยค Direct Speech เป็นคำถาม
หากเปลี่ยนเป็นประโยค Indirect Speech ให้ทำดังต่อไปนี้
. เปลี่ยนกริยาของประโยคนำเสียใหม่ ตามกฎดังนี้
say เป็น ask
said
เป็น asked
say to + บุคคล เป็น ask + บุคคล
said to + บุคคล เป็น asked
+ บุคคล
2. ถ้าประโยค Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น
ขึ้นต้นประโยคด้วยคำที่เป็นคำถามอยู่แล้วก็ให้คงไว้คงเดิม และไม่ต้องใส่ that เข้ามาร่วมอีก
3. ถ้าประโยค Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น
ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย 24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่ง โดยมี Question Words มาร่วมอยู่ด้วย ในกรณีเช่นนี้ให้ใช้คำเชื่อมตัวอื่นมาแทน ได้แก่ Whether
หรือ if (แปลว่า “หรือไม่”) และก็ไม่ต้องใส่ that เข้ามาอีก
4. เปลี่ยนรูปประโยคโครงสร้างของ Direct Speech ซึ่งเป็นคำถามนั้น ให้กลับเป้นโครงสร้างของประโยคบอกเล่า
5. กฎการเปลี่ยนแปลงสรรพนามบุคคล, การเปลี่ยนแปลง Tens และการเปลี่ยนคำใกล้เป็นคำไกลนั้น ให้นำมาใช้ได้ตามปกติ
โดยไม่มีข้อยกเว้นอะไรทั้งสิ้น เช่น..
Direct
: He said to me, Why did you come here
yesterday?.
: หล่อนพูดกับผมว่า “ทำไมคุณจึงมาที่นี่เมือวานนี้?”
Indirect : he asked me why I had gone there
the day before.
: หล่อนถามผมว่า ทำไมคุณจึงไปที่นั่นเมื่อวันก่อน
เมื่อประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำสั่ง
การทำประโยค Direct Speech เป็นประโยคคำสั่ง
คำเตือน ฯลฯ เป็นต้นให้เป็น Indirect Speech ให้ทำดังนี้
1.
ต้องเปลี่ยนกริยาของประโยคนำไปเป็นกริยาที่มีลักษณะเป็นคำสั่งตัวใดตัวหนึ่ง
ทั้งนี้ให้เหมาะสมกับตำแหน่งฐานะของผู้ออกคำสั่ง
2. จะต้องระบุผู้ถูกสั่งหรือผู้ถูกขอร้องขึ้นมาเป็นตัวกรรม(Object) ของกริยาในประโยคนำเสมอ
3. สั่งให้ทำอะไร ขอร้องให้ทำอะไร ให้เติม to เข้าข้างหน้ากริยาในประโยคคำสั่งที่อยู่ใน Direct Speech นั้น แล้วมันก็จะกลายเป็นประโยคคำสั่งของ Direct Speech ทันที เช่น
Direct : He said to his servant, “Cook
breakfast for me”.
เขาพูดกับคนใช้ของเขาว่า, “ทำอาหารเช้าให้ฉันหน่อย”
Indirect : He order his servant to cook breakfast
for him.
เขาสั่งให้คนใช้ของเขาทำอาหารเช้าให้เขา
กริยาต่อไปนี้นำมาใช้เป็นกริยาในประโยคคำสั่งได้
Order
สั่ง(ธรรมดา) เช่น นายสั่งบ่าว สั่งลูกน้องเป็นต้น
Command
สั่ง(เฉียบขาด) เช่น ผู้บังคับบัญชาสั่งลูกน้อง
Tell
บอก(ให้กระทำ) ใช้ได้ทั่วไป
Ask
ขอร้อง(ให้กระทำ) จะใช้ในกรณีที่มีคำว่า please อยู่เท่านั้น และเมื่อเปลี่ยนเป็นindirect Speech ก็ให้ตัดคำว่า please ออกและ มาใช้
ask แทน)
Beg ขอ, ขอร้อง, วิงวอน (ให้กระทำ)
(เหมือน ask แต่ความหมายอ่อนกว่า)
Advise
ตักเตือน, แนะนำ, บอก(ให้กระทำ)
นิยมใช้ในกรณีบอกด้วยความหวังดี
*อนึ่ง ถ้าประโยคคำสั่งนั้นเป็นประโยคคำสั่งห้าม
หรือคำสั่งปฏิเสธ เมื่อเป็นประโยค Indirect Speech ให้ใช้ not to มาครั่นระหว่างประโยคนำกับประโยคคำสั่งห้าม ส่วนคำว่า don’t หรือ do not นั้นให้ลบทิ้งเสีย ไม่ต้องนำมาเขียนในประโยคที่เปลี่ยนเป็น Indirect
Speed ส่วนกฎการเปลี่ยนอื่นๆยังคงใช้ตามปกติ
เช่น...
Direct : My friend said to me, “Don’t bring my book
here.”
เพื่อนของผมพูดว่า “อย่านำเอาหนังสือของฉันมาไว้ที่นี่”
Indirect : My friend asked me not to bring his book
there.
เพื่อนของผมขอร้องผมว่าอย่านำหนังสือของเขาไปไว้ที่นั่น
ขอบคุณที่มา: http://www.whatami.net/ms/bic4.html
No comments:
Post a Comment